เมนู

อรรถกถาโกสัมพิยสูตร



โกสัมพิกสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า "ใกล้กรุงโกสัมพี" ความว่า ใกล้พระ
นครมีชื่ออย่างนี้. ทราบว่า ได้มีต้นเล็บเหยี่ยวอย่างหนาแน่นในที่มีสวนและสระ
โบกขรณีเป็นต้นเหล่านั้นๆ แห่งพระนครนั้น เพราะฉะนั้น พระนครนั้นได้ถึง
การนับว่า โกสัมพี. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ชื่อว่า โกสัมพี เพราะฤาษี
ชื่อ กุสัมพะ ให้สร้างไว้ไม่ไกลจากอาศรม. บทว่า "โฆสิตาราม" ได้แก่
อารามที่โฆสิตเศรษฐีให้สร้างไว้.

ได้ยินว่า ในครั้งก่อนได้มีแว่นแคว้นชื่อว่า อทิละ ลำดับนั้น คนเข็ญ
ใจคนหนึ่งชื่อ โกตุหลิก ก็เพราะเกิดฉาตกภัยจึงพร้อมด้วยบุตรและภรรยาไป
แว่นแคว้นที่กำหนดตามคันนา เมื่อไม่อาจจะพาบุตรไปได้ จึงทิ้งแล้วไป
มารดาได้กลับมาอุ้มบุตรนั้นไป. ทั้งสองคนนั้นเข้าไปยังบ้านผู้เลี้ยงโคหลัง
หนึ่ง. ก็ครั้งนั้น คนทั้งหลายได้จัดแจงข้าวปายาสอย่างมากไว้เพื่อผู้เลี้ยงโค
ทั้งหลาย สามีภรรยาทั้งสองนั้นได้ข้าวปายาสจากบ้านนั้นบริโภคแล้ว
ขณะนั้น เมื่อบุรุษนั้นบริโภคข้างปายาสมาก ไม่อาจจะให้ย่อยได้ ตายลง
ตอนกลางคืน ถือปฏิสนธิเกิดเป็นลูกสุนัขในท้องของสุนัขตัวเมียในบ้าน
นั้น. ลูกสุนัขนั้นได้เป็นที่รัก ที่โปรดปรานของผู้เลี้ยง. ก็ผู้เลี้ยงโคได้บำรุง
พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่. ถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อฉันเสร็จแล้ว ก็ให้ก้อน
ข้าวก้อนหนึ่งแก่ลูกสุนัขนั้น. มันทำความรักให้เกิดในพระปัจเจกพุทธเจ้า
ไปบรรณศาลากับผู้เลี้ยงโค. เมื่อผู้เลี้ยงโคไม่ได้ตระเตรียม ลูกสุนัขนั้นก็ไปใน
เวลาฉันด้วยตนเองแล้วเห่าที่ประตูบรรณศาลา เพื่อจะบอกเวลา แม้เมื่อเห็น
เนื้อร้ายระหว่างทางก็เห่าให้หนีไป. ลูกสุนัขนั้น มีจิตอ่อนโยนในพระปัจเจก-

พุทธเจ้า ตายแล้วเกิดในเทวโลก. ครั้งนั้นเทพบุตรนั้นได้มีชื่อว่า โฆสก-
เทพบุตร. เมื่อเคลื่อนจากเทวโลกได้เกิดในเรือนตระกูลหลังหนึ่งในกรุงโกสัมพี
เศรษฐีเป็นผู้ไม่มีบุตร จึงให้ทรัพย์แก่บิดามารดาของเด็กนั้น พามาเป็น
บุตร.

ลำดับนั้น เมื่อบุตรของตนเกิด เศรษฐีนั้นได้พยายามเพื่อจะฆ่าถึงเจ็ด
ครั้ง. เด็กนั้น เพราะตนมีบุญไม่ถึงความตายในที่ 7 แห่ง ครั้งสุดท้ายได้ชีวิต
เพราะความฉลาดของธิดาเศรษฐีคนหนึ่ง. ต่อมา เมื่อบิดาล่วงไปจึงได้
ตำแหน่งเศรษฐีชื่อว่า โฆสิตเศรษฐี. ในกรุงโกสัมพี มีเศรษฐีอื่นอยู่แล้ว
2 คน คือ กุกกุฏเศรษฐี 1 ปาวาริกเศรษฐี 1 รวมโฆสิตเศรษฐีนี้เข้าด้วยจึง
มี 3 คน.

ครั้งนั้น พวกเศรษฐีผู้เป็นสหายกันนั้นมีฤาษี 500 เป็นชีต้นอยู่เชิง
ภูเขา. บางครั้ง บางคราว พวกฤาษีนั้นจะมาถิ่นของมนุษย์เพื่อต้องการเสพรส
เค็มและเปรี้ยว. คราวหนึ่งในฤดูร้อน เมื่อไปถิ่นมนุษย์ได้ก้าวถลำที่กันดาร
อย่างมาก หาน้ำมิได้ เมื่อสุดที่กันดารแล้ว เห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง คิดกัน
ว่า "ในต้นไม้นี้น่าจะมีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่สิงอยู่แน่ จะเป็นความดีหนอ
ถ้าเทวดานั้นจะพึงให้น้ำดื่มและของควรบริโภคแก่พวกเรา". เทวดารู้อัธยาศัย
ของพวกฤาษีนั้น จึงคิดว่า "เราจะสงเคราะห์พวกฤาษีนี้" ด้วยอานุภาพ
ตน จึงบันดาลให้สายน้ำประมาณงอนไถ ไหลจากระหว่างคบไม้ หมู่
ฤาษีเห็นเกลียวน้ำเหมือนลำแท่งเงิน จึงเอาภาชนะของตนตักน้ำบริโภค
พากันคิดว่า "พวกเราเทวดาให้น้ำดื่ม ก็ป่าใหญ่นี้ไม่มีหมู่บ้าน จะพึง
เป็นความดีหนอ ถ้าเทวดาจะให้อาหารแม้แก่พวกเรา. เทวดาจึงให้ข้าวต้ม
และของขบเคี้ยวที่เป็นทิพย์เป็นต้นให้อิ่มหนำแล้วด้วยอำนาจการเข้าไป
สำเร็จแก่พวกฤาษี. พวกฤาษีต่างพากันคิดว่า "พวกเราเทวดาให้ของทุกอย่าง

ไม่ว่าเป็นน้ำดื่มและอาหาร ถ้าเทวดาจะพึงแสดงตนแก่พวกเราก็จะดีหนอ.
พวกฤาษีนั้นจึงกล่าวว่า ท่านเทวดา สมบัติของท่านมาก ทำกรรมอะไร
ไว้ จึงบรรลุสมบัตินี้"
ท. ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทำกรรมนิดหน่อยไม่ใหญ่โตอะไร
ก็เทวดาอาศัยอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่งจึงได้สมบัตินั้น.
ได้ยินว่า ครั้งนั้น เทพบุตรนี้ได้เป็นคนตนในเรือนของท่านอนาถบิณ-
ฑิกะ. เพราะว่าในเรือนของเศรษฐี ทุกวันอุโบสถ คนทั้งหมดโดยที่สุดทาส
และคนงานก็เป็นผู้รักษาอุโบสถ. วันหนึ่ง คนงานนี้ผู้เดียวเท่านั้น ลุกขึ้นแต่
เช้าตรู่ไปทำงาน. มหาเศรษฐีเมื่อได้กำหนดมนุษย์ผู้ที่ควรจะได้อาหารทั้งหลาย
ได้รู้ว่า "เขาคนเดียวเท่านั้นไปป่าเสียแล้ว" จึงได้ให้จัดอาหารไว้เพื่อเวลา
เย็น. หญิงรับใช้ผู้เป็นแม่ครัวหุงข้าวเพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น เมื่อเขากลับจาก
ป่าจึงได้คดข้าวไปให้. คนงานจึงกล่าวว่า "เวลานี้วันอื่นๆ ทั้งเรือนได้มีเสียง
อย่างเดียว วันนี้เงียบสนิทเหลือเกิน นี่เหตุอะไรหนอแล". แม่ครัวนั้น บอกแก่
เขาแล้วว่า วันนี้ในเรือนนี้คนทั้งหมดเป็นผู้รักษาอุโบสถ มหาเศรษฐีได้ให้
จัดอาหารเฉพาะท่านผู้เดียว"
ก. จริงหรือแม่.
ท. จริงจ๊ะ.
ก. ผู้สมาทานอุโบสถเวลานี้จะเป็นอุโบสถกรรมหรือไม่ แม่ ท่าน
จงถามมหาเศรษฐีอย่างนี้เถิด".
มหาเศรษฐีถูกหญิงรับใช้ไปถามจึงกล่าวว่า "ไม่เป็นอุโบสถทั้งหมด
หรอก แต่จะเป็นอุโบสถกึ่งหนึ่ง เขาจงรักษาอุโบสถเถิด." คนงานนั้นจึง
ไม่บริโภคอาหาร บ้วนปาก รักษาอุโบสถไปที่อยู่ของตน แล้วนอน
เมื่อเขามีร่างกายสิ้นอาหาร ลมได้กำเริบแล้วในกลางคืน ตายเวลาเช้า

มืด เกิดเป็นเทพบุตรที่ต้นไทรในดงไทรใหญ่ เพราะผลเป็นเครื่องไหลแห่ง
อุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง เทพบุตรนั้น บอกความเป็นไปนั้นแก่พวกฤาษี.
ฤ. ท่านประกาศบอกสิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน ว่าพระพุทธ พระ
ธรรม และพระสงฆ์ให้ได้ยินว่า "พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วหรือ
หนอ.
ท. ทรงอุบัติขึ้นแล้วครับท่านผู้เจริญ.
ฤ. บัดนี้ ประทับอยู่ที่ไหน
ท. ทรงอาศัยกรุงสาวัตถีประทับอยู่ในพระเชตวัน ท่านผู้เจริญ.
ฤ. ท่านจงหยุดูก่อนเถิด พวกข้าพเจ้าจักเฝ้าพระศาสดา ต่างร่าเริง
ยินดี ออกไปถึงพระนครโกสัมพีโดยลำดับ. พวกมหาเศรษฐีทราบว่า
ฤาษีทั้งหลายมาแล้ว จึงต้อนรับแล้วว่า ท่านขอรับ. พรุ่งนี้ ขอจงรับภิกษา
ของพวกข้าพเจ้า ครั้งถึงวันรุ่งขึ้นก็ได้ถวายมหาทานแก่คณะฤาษี.
พวกฤาษีฉันแล้วจึงถามกันว่า พวกเราจะไปกันนะ.

ศ. ท่านผู้เจริญ. พระคุณเจ้าเวลาอื่นละก็พักอยู่เดือน 1 บ้าง 2
เดือนบ้าง 3 เดือนบ้าง 4 เดือนบ้าง จึงจะไป แต่ครั้งนี้มาเมื่อวานนี้กล่าว
ว่า พวกเราจะไปวันนี้จริงๆ นี้เหตุอะไร.
ฤ. ใช่แล้ว ท่านคฤหบดี. พระพุทธเจ้าทรงอุบัติในโลกแล้ว เราไม่
สามารถรู้อันตรายชีวิตได้ เพราะเหตุนั้น พวกเราจึงรีบไป.
ศ. ท่านครับ ถ้าเช่นนั้น แม้พวกข้าพเจ้าก็จะไปด้วย ขอพวกท่านจง
ไปรวมกับพวกข้าพเจ้าเถิด.

ฤ. พวกท่านชื่อว่า เป็นมหาชนอยู่ครองเรือน จงหยุดก่อน พวก
ข้าพเจ้าจะไปก่อน ดังนี้ พากันออกไป ไม้พักที่หนึ่งเกิน 2 วัน ได้ไปอย่าง

รีบร้อนนั่นเทียว ถึงเมืองสาวัตถีแล้วจึงมาสำนักพระศาสดาในพระเชตวัน
วิหาร. ทั้งหมดนั่นเทียว ฟังธรรมกถาอย่างไพเราะในที่นั้น บวชแล้ว ได้
บรรลุพระอรหัต.

ฝ่ายเศรษฐีทั้ง 3 ขับเกวียนไปคนละ 500 เล่มบรรทุกเนยใส น้ำ
ผึ้ง น้ำอ้อย และผ้าเปลือกไม้เป็นต้น ออกจากกรุงโกสัมพีถึงเมืองสาวัตถีโดย
ลำดับ ผูกค่ายใกล้พระเชตวัน พากันไปสำนักพระศาสดา ถวายบังคมทำ
ปฏิสันถารแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาได้ตรัสธรรมกถาอย่าง
ไพเราะแก่สหายแม้ทั้ง 3. พวกเศรษฐีเหล่านั้นเกิดโสมนัสอย่างแรง ทูล
นิมนต์พระศาสดา วันรุ่งขึ้นได้ถวายมหาทาน. พวกเขาถวายแล้วทุกวันรุ่ง
ขึ้นๆ รวมความแล้วได้ถวายอย่างนี้ตลอดครึ่งเดือนทีเดียว หมอบที่ใกล้พระ
บาทกราบทูลว่า "ขอพระองค์จงประทานปฏิญาณเพื่อเสด็จมาชนบทของ
พวกข้าพระองค์." พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คฤหบดีทั้งหลาย พระ
ตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมยินดีอย่างยิ่งในเรือนอันว่างเปล่า". พวกคฤหบดีต่าง
กำหนดกันว่า "เหตุเท่านี้ ก็เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทานปฏิญาณ
แล้ว" แล้วคิดว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทานปฏิญาณแก่พวกเรา
แล้ว ถวายบังคมพระทศพลออกไปให้สร้างวิหารทุกๆ หนึ่งโยชน์ระหว่าง
หนทางถึงกรุงโกสัมพีโดยลำดับ ต่างพากันกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ
ในโลกแล้ว. ฝ่ายเศรษฐีทั้ง 3 บริจาคทรัพย์จำนวนมากในอารามของ
ตน ให้สร้างวิหารสำหรับเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า. เศรษฐี
ทั้ง 3 นั้น กุกกุฏเศรษฐีให้สร้างกุกกุฏาราม.ปาวาริกเศรษฐีให้สร้างปาวาริ
กัมพวัน ในป่ามะม่วง. โฆสิตเศรษฐีให้สร้างโฆสิตาราม. พระผู้มีพระภาค
เจ้า ทรงหมายเอาโฆสิตารามนั้น จึงตรัสว่า ในอารามที่โฆสิตเศรษฐี
ให้สร้างไว้.

ในบทเป็นต้นว่า "เกิดความบาดหมาง" ควรทำวิเคราะห์ว่า เบื้องต้น
แห่งความทะเลาะชื่อว่าความบาดหมาง ความบาดหมางนั้นเกิดแก่ภิกษุเหล่า
นั้น เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า มีความบาดหมางเกิด. การทะเลาะที่ถึงที่สุดด้วย
อำนาจการประมือเป็นต้น เกิดแก่ภิกษุเหล่านั้น เหตุนั้น ชื่อว่า ผู้มีความทะเลาะ
เกิดแล้ว.
สองบทว่า "วาทะที่ผิดกัน" ความว่า ภิกษุเหล่านั้น ถึงการวิวาท
นั้น เหตุนั้น ชื่อว่าถึงการกล่าวต่างกัน. บทว่า "ด้วยหอกคือปาก" ได้
แก่ ด้วยหอกคือวาจาทั้งหลาย.

บทว่า "เจาะอยู่" คือ แทงอยู่.

หลายบทว่า "ภิกษุเหล่านั้นไม่ยังกันและกันให้ยินยอม และไม่เข้าถึง
ความยินยอม
" ความว่า ภิกษุเหล่านั้น แสดงเหตุผลแล้วไม่ยินยอมกันและ
กัน. อธิบายว่า ถ้าปรารถนาจะให้กันและกันยินยอมไซร้. พวกเธอก็จะไม่
เข้าถึงความยินยอมแม้อย่างนั้น (ทั้ง) ไม่ปรารถนาเพื่อจะยินยอม. แม้ในการ
เพ่งเล็งก็นัยนี้. คำว่า เห็นในคำว่า เพ่งเล็งนั้น เป็นไวพจน์ของคำว่า "รู้พร้อม"
ทราบว่า ภิกษุ 2 รูป คือ พระฝ่ายทรงวินัย และพระฝ่ายทรงพระ
สูตร อยู่วัดเดียวกัน. ทั้ง 2 รูปนั้นภิกษุฝ่ายทรงพระสูตร วันหนึ่งเข้าเวจกุฎี
เหลือน้ำสำหรับล้างไว้ในภาชนะแล้วออกไป ภิกษุผู้ทรงวินัยเข้าไปภาย
หลัง เห็นน้ำนั้น ออกมาแล้วถามภิกษุนั้นว่า คุณ น้ำนี้คุณเหลือไว้หรือ.
ส. ใช่ คุณ.
ว. ท่านไม่รู้ว่าเป็นอาบัติในเพราะเหตุนั้นหรือ.
ส. ครับ ไม่ทราบ.
ว. ช่างเถอะคุณ เป็นอาบัติในข้อนี้.
ส. ถ้ามี ผมจะแสดง.

ว. คุณ ก็ถ้าคุณไม่จงใจทำลงไปเพราะขาดสติ คุณก็ไม่เป็นอาบัติ.
ภิกษุผู้ทรงพระสูตร ได้เป็นผู้เห็นว่า ไม่เป็นอาบัติในสิ่งที่เป็น
อาบัติ. ภิกษุผู้ทรงวินัย จึงบอกแก่พวกนิสิตของตนว่า ท่านผู้ทรงพระสูตร
นี้ แม้ต้องอาบัติก็ยังไม่รู้". พวกภิกษุนิสิตของภิกษุฝ่ายวินัย เห็นพวกนิสิต
ของภิกษุผู้จำพระสูตรจึงกล่าวว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่าน แม้ต้องอาบัติ
แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ. ภิกษุผู้นิสิตของภิกษุผู้ทรงจำพระสูตรเหล่า
นั้น จึงไปบอกแก่อุปัชฌาย์ของตน. ภิกษุผู้ทรงจำพระสูตรจึงกล่าวอย่างนี้
ว่า พระวินัยธรนี้ ครั้งก่อนกล่าวว่าไม่เป็นอาบัติ บัดนี้กล่าวว่าเป็น
อาบัติ เขาเป็นคนกล่าวเท็จ". พวกนิสิตของภิกษุผู้ทรงพระสูตร จึงไปกล่าว
ว่า อุปัชฌาย์ของพวกท่านกล่าวเท็จ ดังนี้ แพร่ความทะเลาะไปสู่กันและ
กัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาความทะเลาะนั้น จึงตรัสคำนี้ไว้.
บทว่า "ได้กราบทูลอย่างนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้า" ความว่า
ได้กราบทูลคำเบื้องต้นนั้นว่า พระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ขอประทาน
โอกาส พวกภิกษุในกรุงโกสัมพีเกิดความบาดหมางกันแล้ว. ก็ภิกษุนั้นไม่
ได้กล่าวคำนั้น เพราะประสงค์เป็นที่รัก ทั้งไม่ได้กล่าวเพราะต้องการการ
แตกแยก แต่ที่แท้เพราะต้องการประโยชน์ (และ) ความเกื้อกูล.
นัยว่า ภิกษุนี้เป็นผู้ทำให้เกิดสามัคคีกัน ฉะนั้น จึงได้มีความคิดอย่าง
นี้ว่า ภิกษุเหล่านี้ปรารภการบาดหมางและวิวาท อย่างที่เราและภิกษุอื่นก็
ไม่อาจทำให้พร้อมเพรียงกันได้ แม้ไฉนพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงไม่มีผู้
เปรียบในโลกพร้อมทั้งเทวโลกเสด็จไปเอง หรือว่ารับสั่งให้เรียกมาสำนัก
ของพระองค์ตรัสธรรมเทศนาเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน ประกอบด้วยขันธ์และ
เมตตาแก่ภิกษุเหล่านั้น ก็จะพึงทำให้สมัครสมานกันได้ จึงได้ไปกราบ
ทูล เพราะใคร่ประโยชน์ (และ) ความเกื้อกูล.

บทว่า "ภิกษุทั้งหลาย. ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง 6 เหล่า
นี้
" ความว่าปรารภเทศนาด้วยอำนาจความทะเลาะและความบาดหมาง
ในหนหลัง.
หลายบทว่า "ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง 6 มาแล้วในฐานะ
นี้
" ความว่า โกสัมพิกสูตรนี้เป็นอันมาแล้ว ตามความสืบต่ออย่างนี้.
ในบทนี้ บทว่า "เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง" ความว่า เมื่อกาลล่วง
ไปนาน ไม่ควรลืมเพราะประกอบด้วยธรรมที่ควรระลึกถึง ผู้ใดบำเพ็ญธรรม
เหล่านั้น ธรรมเหล่านั้น ย่อมทำผู้นั้นให้เป็นที่รักของเพื่อผู้ประพฤติพรหม-
จรรย์ร่วมกัน เหตุนั้น ชื่อว่าเป็นเครื่องทำให้เป็นที่รัก. ชื่อว่าเป็นเครื่อง
กระทำความเคารพ เพราะทำความเคารพ.
บทว่า "เพื่อสงเคราะห์" ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์
บทว่า "เพื่อไม่วิวาท" ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่ความไม่วิวาท.
บทว่า "เพื่อความพร้อมเพรียง ได้แก่ เพื่อประโยชน์สมัครสมาน
กัน.
บทว่า "เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" ความว่า เพื่อประโยชน์
แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ เพื่อไม่ทำให้ต่างกัน.
บทว่า "เป็นไปพร้อม" ได้แก่ มีอยู่.
บทว่า "เมตตากายกรรม" ได้แก่ กายกรรมที่พึงทำด้วยจิตประ
กอบด้วยเมตตา. แม้ในวจีกรรม และมโนกรรมก็นัยนี้นั่นเทียว เมตตาจิต
เหล่านี้มาแล้วด้วยอำนาจภิกษุทั้งหลาย ย่อมหาได้แม้ในพวกคฤหัสถ์. เมตตา
เป็นเครื่องบำเพ็ญอภิสมาจาริกธรรมด้วยจิตประกอบด้วยเมตตาของภิกษุ
ทั้งหลาย ชื่อว่า กายกรรม. กรรมเป็นอย่างนี้คือ การไปเพื่อประโยชน์ไหว้

เจดีย์ 1 ไหว้ต้นโพธิ์ 1 นิมนต์พระสงฆ์ 1 การเห็นภิกษุทั้งหลายผู้เข้าไปโคจร
คามเพื่อบิณฑบาตแล้วต้อนรับ 1 การรับบาตร 1 การปูอาสนะ 1 การตาม
ส่ง 1 ของพวกคฤหัสถ์ ชื่อว่า เมตตากายกรรม. ชื่อว่าเมตตาวจีกรรม
คือ การบอกสิกขาบท คือบัญญัติเกี่ยวกับมารยาท การบอกกัมมัฏฐาน
การแสดงธรรม การบอกพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก ด้วยจิตเมตตาของภิกษุ
ทั้งหลาย. อนึ่ง กรรมในกาลเป็นที่กล่าวเป็นต้นว่า เราจะไปไหว้พระ
เจดีย์ 1 ไหว้ต้นโพธิ์ 1 จักให้ทำการฟังธรรม 1 จักบูชาด้วยประทีปมาลัยดอก
ไม้ 1 จักประพฤติสมาทานสุจริตสาม 1 ถวายสลากภัตรเป็นต้น 1 ถวายผ้า
จำนำพรรษา 1 ถวายปัจจัย 4 แก่สงฆ์ในวันนี้ 1 พวกท่านจงนิมนต์พระสงฆ์
แล้วจัดแจงของเคี้ยวของฉันเป็นต้น 1 จงปูอาสนะ 1 จงตั้งน้ำดื่ม 1 จงต้อน
รับแล้วนำพระสงฆ์นั้นมาด้วยตนเอง 1 จงนิมนต์พระสงฆ์ให้นั่งบนอาสนะ
ที่ปูไว้ เกิดความพอใจ ขมักเขม้นแล้วจงทำความขวนขวายดังนี้ของ
พวกคฤหัสถ์ ชื่อว่า เมตตาวจีกรรม. การลุกขึ้นแต่เข้าแล้วปฏิบัติร่างกาย
ทำวัตรเจดีย์และคณะเป็นต้น นั่งบน อาสนะ อันสงัด คำว่า "ขอพวกภิกษุ
ในวิหารนี้ จงมีสุขไม่มีเวร ไม่พยาบาทกันเถิด" ชื่อว่า เมตตามโนกรรม.

บทว่า "ที่แจ้ง และที่ลับ" ความว่า ต่อหน้าด้วย ลับหลังด้วย.
บรรดากรรมนั้น การถึงความเป็นเพื่อนในจีวรกรรมเป็นต้น ของภิกษุ
ทั้งหลายผู้ใหม่ ชื่อว่า เมตตากายกรรมต่อหน้า.

อนึ่ง สามีจิกรรมทั้งหมด ต่างด้วยกรรม มีการล้างเท้าและพัดให้
เป็นต้น ของพระเถระชื่อว่าเมตตากายกรรมต่อหน้า.

การไม่ทำความดูดายในเครื่องไม้เป็นต้น ที่ทั้งสองฝ่ายเก็บไว้ไม่ดีแล้ว
เก็บ ดุจเก็บของที่ตนเก็บไว้ไม่ดี ชื่อว่า เมตตากายกรรมลับหลัง.

การกล่าวยกย่องอย่างนี้ว่า "พระเทวเถระ พระติสสะเถระ" ชื่อ
ว่า เมตตาวจีกรรมต่อหน้า.
ก็การที่บุคคลถามเฉพาะภิกษุที่ไม่อยู่ในวิหารเทียว กล่าวอ้างว่าเป็น
ของตนอย่างนี้ว่า "พระเทวเถระของพวกเราไปไหน จะมาเวลาใดหนอ
พระติสสะเถระของพวกเราไปไหน จะมาเวลาใดหนอ" ดังนี้ ชื่อว่า เมตตา
วจีกรรม ลับหลัง.

อนึ่ง การลืมนัยตาซึ่งสนิทด้วยความรักประกอบด้วยเมตตาแล้ว
ดูด้วยใบหน้าที่ผ่องใสดี ชื่อว่า เมตตามโนกรรมต่อหน้า.
การประมวล มาว่า "ขอพระเทวเถระ พระติสสะเถระ จงไม่มี
โรค มีอาพาธน้อย" ชื่อว่า เมตตามโนกรรมลับหลัง.
บทว่า "ลาภ" ได้แก่ ปัจจัยที่ได้มีจีวรเป็นต้น.
บทว่า "เป็นธรรม" ความว่า ปัจจัยที่เกิดขึ้นด้วยวัตรคือการเว้น
เลี้ยงชีพผิดต่างด้วยการโกหกเป็นต้น แล้วเที่ยวไปเพื่ออาหารโดยธรรม
โดยเสมอ.
บทว่า "โดยที่สุด แม้เป็นเพียงอาหารที่รวมลงในบาตร" ความ
ว่า แม้เป็นเพียงอาหาร 2-3 ทัพพี ที่รวมลงในบาตร คืออยู่ในภายใน
บาตร โดยส่วนสุดข้างหลัง.
ในบทว่า "ผู้บริโภค (อาหาร) ที่ยังมิได้แบ่งไว้นี้" ชื่อว่า ผู้มีอาหารที่
แจกจ่ายแล้วมี 2 คือ แจกจ่ายอามิส 1 แจกบุคคล 1.

ในการแบ่งแจก ทั้ง 2 นั้น การแบ่งด้วยจิตอย่างนี้ว่า เราจะให้เท่า
นี้ จะไม่ให้เท่านี้. ชื่อว่า แบ่งแจกอามิส.

การแบ่งด้วยจิตอย่างนี้ว่า "เราจะให้แก่คนโน้น ไม่ให้แก่คน
โน้น" ชื่อว่า แบ่งแจกบุคคล.

ข้อที่บุคคลไม่ทำแม้ทั้ง 2 อย่างนั้นและบริโภคอาหารที่มิได้แบ่งไว้
นี้ ชื่อว่า ผู้มีปกติบริโภคอาหารที่ยังมิได้แบ่งไว้.

ในคำว่า "ผู้มีปกติบริโภคทั่วไป กับเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วม
กัน ผู้มีศีล
" มีอธิบายว่า "ภิกษุผู้มีปกติบริโภคทั่วไปมีลักษณะดังนี้ เธอได้สิ่ง
ใดๆ ประณีต ก็ไม่ให้สิ่งนั้นๆ ด้วยลาภ เธอจะให้ลาภแก่คฤหัสถ์ทั้งหลายก็
ด้วยการมุ่งหน้าแสวงหา ทั้งตนก็ไม่บริโภค เมื่อจะรับก็รับเอาด้วยคิด
ว่า "จงเป็นของทั่วไปแก่สงฆ์" เคาะระฆังแล้ว แลดูดุจของสงฆ์ที่ควรบริโภค.

ถามว่า ก็ใครบำเพ็ญธรรมเป็นเครื่องให้ระลึกถึงกัน (และ) ใครไม่
บำเพ็ญ" ตอบว่า ผู้ทุศีลไม่บำเพ็ญก่อน เพราะว่า ผู้มีศีลทั้งหลาย ย่อมไม่
ถือเอาสิ่งของที่เป็นของผู้นั้น. ส่วนว่า ผู้มีศีล บริสุทธิ์ ไม่ทำวัตรให้ขาด
ให้เต็มอยู่. ในข้อนั้น มีธรรมเนียมนี้ (เป็นอุทาหรณ์)

ก็ผู้ที่ทำเจาะจงแล้วจึงให้แก่มารดาบิดาหรือว่าอาจารย์และอุปัชฌาย์
เป็นต้นนั้น ให้สิ่งที่ควรให้. ผู้นั้นย่อมไม่มีธรรมเป็นเครื่องให้ระลึกถึง
กัน. มีแต่การรักษาความกังวล เพราะว่า ผู้พ้นจากความกังวลเท่านั้น
จึงจะสมควรกับธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน. ผู้นั้น เมื่อจะให้เจาะจง
ควรให้แก่ภิกษุผู้เป็นไข้ ผู้พยาบาลภิกษุไข้ ผู้จรมา ผู้เตรียมจะไปบ้าง
แก่ผู้บวชใหม่ที่ไม่รู้วัตรสำหรับรับสังฆาฏิและบาตร เมื่อจะถวายแก่ภิกษุ
เหล่านั้น ตั้งแต่อาสนะสำหรับพระเถระลงมาไม่ควรถวายให้เหลือนิด
หน่อย ถวายเท่าที่ท่านถือเอานั้น. เมื่อไม่เหลือ ไม่มี ก็ควรเที่ยวไปบิณฑบาต
แล้วถวายของที่ประณีตนั้นๆ ตั้งแต่อาสนะพระเถระลงมา แล้วฉันของที่เหลือ.

เพราะกล่าวอย่างนี้ว่า "ผู้มีศีล" ดังนี้ ถึงการไม่ให้แก่ผู้ไม่มีศีล
ก็ควร. ด้วยว่า ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันนี้เป็นอันบริษัทที่มิได้
ศึกษาไม่บำเพ็ญแล้ว เพราะว่า เมื่อบริษัทได้ศึกษาแล้ว ผู้ที่ได้แต่ผู้อื่น
นั้น ย่อมไม่ถือเอา แม้เมื่อไม่ได้จากผู้อื่น ก็ถือเอาพอประมาณเท่านั้น ไม่ถือ
เอาเกิน. ก็แล ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันนี้ ภิกษุผู้เมื่อจะให้วัตถุที่ตน
เที่ยวไปบิณฑบาตซ้ำซากได้แล้วๆ. ประพฤติให้เต็มตั้ง 12 ปี ไม่หย่อนกว่า
นั้น. ก็ถ้าว่า ภิกษุผู้บำเพ็ญธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกันวางบาตรที่
เต็มด้วยบิณฑบาต ที่โรงฉันแล้วไปอาบน้ำ. พระสังฆเถระ ถามว่า "นี้บาตร
ใคร" เมื่อเขากล่าวว่า "ของภิกษุผู้บำเพ็ญธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง
กัน" จึงกล่าวว่า "พวกท่านจงนำบาตรนั้นมา" แล้วจัดแจงบิณฑบาตทุก
อย่าง ฉันแล้ววางบาตรเปล่าไว้.
ภิกษุนั้น เกิดความเสียใจว่า "ภิกษุทั้งหลายฉัน (อาหาร) ของเรา
แล้ว ให้เหลือแต่บาตรเปล่าไว้." สาราณิยธรรมย่อมแตก เป็นอันเธอต้อง
บำเพ็ญอีก 12 ปี. ก็สาราณิยธรรมนี้ เช่นกับ ติตถิยปริวาส เมื่อขาดคราวเดียว
ก็พึงประพฤติอีก. ภิกษุใดเกิดความดีใจว่า "ข้อที่ภิกษุผู้ประพฤติพรหม-
จรรย์ร่วมกับเราไม่ถามโดยเอื้อเฟื้อถึงอาหารที่อยู่ในบาตรแล้วฉัน นั้นเป็น
ลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ." ภิกษุนั้นชื่อว่า มีสาราณิยธรรมเต็ม
แล้ว. ส่วนความริษยา และความตระหนี่ จะไม่มีแก่ภิกษุผู้บำเพ็ญสาราณิย-
ธรรมอย่างนี้แน่นอน. เธอเป็นที่รักของพวกมนุษย์ ทั้งปัจจัยก็หาได้ง่ายกว่า
นัก ถึงสิ่งของที่อยู่ในบาตรที่เขาถวายแก่เธอก็ไม่สิ้นไป. ย่อมได้สิ่งของดี
เลิศ ในส่วนสิ่งของที่พึงแบ่ง ครั้นถึงความหวาดกลัว หรือความหิวโหย
พวกเทพย่อมขวนขวาย. ในข้อนั้น มีเรื่องเหล่านี้ เป็นอุทาหรณ์.
ฟังมาว่า พระติสสะเถระผู้อยู่ที่เสลาคิรีวิหาร อาศัยบ้านมหาคิรี.
อยู่ เมื่อพระมหาเถระ 50 รูป กำลังไปเกาะนาคเพื่อไหว้เจดีย์ เที่ยวบิณฑ-

บาตในบ้านคิรีไม่ได้อะไรออกไปแล้ว. เมื่อพระเถระเข้าไปเห็นพระมหา
เถระเหล่านั้น ถามว่า ท่านได้อะไรบ้างครับ.
ม. คุณ พวกเราได้เที่ยวไปแล้ว.
พระเถระนั้น รู้ว่า พระมหาเถระเหล่านั้น ไม่ได้อะไร จึงกล่าว
ว่า ท่านครับ ขอท่านทั้งหลาย จงอยู่ที่นี้จนกว่ากระผมจะมา.
ม. คุณ พวกเราตั้ง 50 คน ก็ยังไม่ได้พอให้เปียกบาตร.
ถ. ท่านครับ ธรรมดาผู้อยู่ประจำเป็นผู้สามารถ แม้เมื่อไม่ได้ ก็ยัง
รู้สภาพประมาณ ภิกษาจาร พวกพระเถระมาแล้ว. พระเถระจึงเข้าไปหมู่
บ้าน มหาอุบาสิกาในเรือนที่ห่างไกลได้จัดแจงน้ำนมและข้าวสวย ยืนคอย
ดูพระเถระ เมื่อพระเถระถึงประตูเท่านั้น ก็ได้บรรจุบาตรให้เต็มถวาย
แล้ว. พระเถระถือบาตรนั้นไปสำนักพระเถระทั้งหลาย กล่าวกับพระสังฆ-
เถระว่า ท่านครับ ขอท่านจงรับเถิด. พระเถระมองดูหน้าพระเถระที่
เหลือพลางคิดว่า พวกเราตั้งเท่านี้ไม่ได้อะไรเลย ภิกษุนี้ถือเอามาแล้ว
เร็วทีเดียว นี่อะไรกันหนอ.

พระเถระทราบด้วยอาการแลดูเทียว จึงกล่าวว่า "บิณฑบาต
กระผมได้มาโดยชอบธรรม ขอพวกท่านจงหมดรังเกียจรับเอาเถิด" แล้ว
ได้ให้แก่พระเถระทั้งหมดตามต้องการตั้งแต่ต้น ถึงตนก็ฉันตามต้องการ.
ลำดับนั้น เมื่อฉันเสร็จ พวกพระเถระจึงถามว่า "คุณแทงตลอดโลกุตตร-
ธรรมเมื่อไร คุณ".
ถ. ท่านครับ กระผมยังไม่มีโลกุตตรธรรมหรอกครับ.
ม. คุณ ได้ฌานหรือ
ถ. แม้นั่นก็ไม่มี ครับ".

ม. คุณ ได้ปาฏิหาริย์มิใช่หรือ.
ถ. ท่านครับ กระผมบำเพ็ญสาราณิยธรรม ตั้งแต่กระผมบำเพ็ญ
สาราณิยธรรมมา ถึงมีภิกษุตั้ง 1,000 รูป อาหารในบาตร ก็ยังไม่หมดไป.
ม. ดีแล้ว ๆ ท่านสัตบุรุษ นี้สมควรแก่ท่าน. ในคำว่า อาหารใน
บาตรของท่านก็ยังไม่หมดไปก่อน มีเรื่องดังต่อไปนี้.
พระเถระองค์นี้อีกนั่นแหละ ได้ไปที่ถวายทาน ในที่บูชาใหญ่แห่ง
คิรีภัณฑ์วิหารที่เจดีย์บรรพต ถามว่า "ทานนี้มีอะไรเป็นของอย่างดี''
"ผ้า 2 ผืนครับท่าน. "ผ้าทั้งสองผืนนั้นถึงแก่เรานะ." อำมาตย์ฟังคำ
นั้น จึงกราบทูลพระราชาว่า "พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุหนุ่มกล่าวอย่างนี้ ''
ร. "ความคิดของภิกษุหนุ่มสมควรทีเดียว แต่ว่า พระมหาเถระ
ทั้งหลายก็เหมาะแก่ผ้าเนื้อดี แล้วทรงวางได้ด้วยทรงดำริว่า "เราจะถวาย
พระมหาเถระทั้งหลาย. เมื่อพระภิกษุยืนตามลำดับ ผ้า 2 ผืนที่ทูนได้บน
พระเศียรของพระองค์ผู้กำลังถวาย ไม่ลงมาสู่พระหัตถ์สักผืนหนึ่ง (ส่วน)
ผ้าผืนอื่น ๆ เท่านั้น ที่ลงมา แต่ว่าเวลาถวายพระหนุ่ม ผ้าทั้ง 2 ผืนนั้นก็ลงมาสู่
พระหัตถ์. ท้าวเธอทรงวางมือภิกษุหนุ่มนั้น มองหน้าอำมาตย์ทรงให้ภิกษุ
หนุ่มนั่งแล้วถวายทาน ทรงละพระสงฆ์มาประทับใกล้ภิกษุหนุ่ม ตรัส
ว่า ท่านครับ ธรรมนี้ ท่านแทงตลอดเมื่อไร เมื่อไม่กล่าวแบบไม่
อ้อมๆ จึงถวายพระพรว่า "มหาบพิตร อาตมาภาพไม่มีโลกุตตรธรรม".
ร. พระคุณเจ้าได้กล่าวไว้ก่อนมิใช่หรือ ขอรับ.
ถ. ถวายพระพร มหาบพิตร อาตมาภาพบำเพ็ญสาราณิย-
ธรรม ตั้งแต่เวลาอาตมาภาพบำเพ็ญธรรมนั้นมา ก็ได้สิ่งของอย่างดีเลิศในที่
ที่พึงแบ่ง.

ร. "ดีแล้ว ดีแล้ว ท่านครับ นี้ควรแก่ท่าน" ทรงไหว้แล้วหลีกไป
ในคำว่า "ได้ของดีเลิศในที่ที่พึงแบ่ง" นี้ มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์.
ก็ภิกษุทั้งหลาย มีปกติอยู่ในบ้านภาตระในจัณฑาลติสสภยะวิหาร
ไม่บอกพระเถรีชื่อว่านาคาหลีกไปแล้ว. พระเถรีกล่าวกับพวกภิกษุณีสาว
เวลาเช้ามืดว่า "หมู่บ้านสงัดเสียงเหลือเกิน พวกท่านจงสอบสวนดูก่อนซิ."
ภิกษุณีสาวเหล่านั้น ไปรู้ว่าภิกษุทั้งหมดไปแล้ว จึงกลับมาบอกพระ
เถรี. พระเถรีนั้น ได้ฟังแล้ว กล่าวว่า "พวกท่านอย่าคิดว่าภิกษุเหล่านั้นไป
แล้ว จงทำความเพียรในการเล่าเรียนบาลี สอบถามและการใส่ใจโดยแยบคาย
เถอะ" เมื่อถึงเวลาเที่ยวภิกษาจึงห่มผ้า ได้เป็นรูปที่ 12 ยืนที่โคนต้นไทรใกล้
ปากดง. เทวดาผู้สิ่งอยู่ที่ต้นไม้ก็ได้ถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุณี 12 รูป
จึงกล่าวว่า "พระแม่เจ้า ขออย่าไปที่อื่นเลย มาประจำที่นี้เท่านั้นเถิด".
ก็พระเถรีมีน้องชายคนเล็กชื่อว่า นาคเถระ. พระนาคเถระนั้นคิดว่า
"เราไม่อาจให้ภัยอย่างใหญ่เป็นไปในที่นี้ พวกเราจะไปยังฝั่งอื่น" เป็น
รูปที่ 12 เทียว ออกจากที่อยู่ของตน แล้วมาหมู่บ้านภาตระด้วยคิดว่า "เราจะ
เยี่ยมพระเถรีแล้วก็จะไป."

พระเถรีได้ฟังว่า พวกพระเถระมา จึงไปสำนักพระเถระเหล่า
นั้น ถามว่า " อะไรกัน พระผู้เป็นเจ้า" ท่านจึงบอกความเป็นไปนั้น.
พระเถรีนั้นจึงกล่าวว่า "ตลอดวันหนึ่ง วันนี้พวกท่านจักพักในวิหาร ต่อพรุ่งนี้
จึงค่อยไป." พวกพระเถระมาวิหาร. รุ่งขึ้นพระเถรีเที่ยวบิณฑบาตที่โคน
ต้นไม้แล้วเข้าไปหาพระเถระกล่าวว่า "ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายจงฉันบิณฑ-
บาตนี้เถิด." พระเถระกล่าวว่า "เถรี สมควรหรือ" จึงได้ยินนิ่งเสีย.
เถรี. "พ่อ บิณฑบาตนี้ชอบธรรม พระคุณเจ้าทั้งหลาย อย่า
รังเกียจ ฉันเถิด."

เถระ. "เถรี สมควรหรือ"
นางจับบาตรแล้วโยนไปบนอากาศ บาตรได้ลอยอยู่ในอากาศ พระ
เถระกล่าวว่า "อาหารของภิกษุณีลอยอยู่ประมาณเจ็ดชั่วลำตาล" เมื่อกล่าว
ว่า "ขึ้นชื่อว่า ภัยมิใช่มีอยู่ทุกเวลา ภัยสงบ" เมื่อจะกล่าวอริยวงศ์ก็จะกล่าว
ว่า " ํท่านครับ ท่านฉันอาหารของนางภิกษุณีที่ได้จากบิณฑบาตแล้ว
ปล่อยเวลาให้ล่วงไป" ดังนี้ เมื่อจะประพฤติตามความคิดก็ไม่อาจจะสนับสนุน
ได้ เถรี ขอพวกท่านจงไม่ประมาทเถิด." แล้วเดินขึ้นหนทาง. ฝ่ายรุกขเทวดา
ยืนคิดอยู่ว่า "หากพระเถระจะบริโภคบิณฑบาตจากมือพระเถรี เราก็จะไม่
ให้เธอกลับ" เห็นพระเถระเดินไป จึงลงจากต้นไม้กล่าวว่า ''ท่านเจ้า
ข้า ขอจงให้บาตร" แล้วรับบาตรนำพระเถระมาโคนต้นไม้นั่นแหละ ปู
อาสนะถวายบิณฑบาต ให้พระเถระซึ่งฉันแล้วทำปฏิญญา แล้วบำรุงภิกษุณี
12 รูป ภิกษุ 12 รูป ตลอด 7 ปี. ในคำว่า "เทวดาขวนขวาย" นี้มีเรื่องนี้
เป็นอุทาหรณ์. ก็ในเรื่องนี้ พระเถรีได้เป็นผู้บำเพ็ญสาราณิยธรรม.

ในบทว่า "ไม่ขาด" เป็นต้น มีอธิบายว่า ภิกษุใด มีสิกขาบททำลาย
ในเบื้องต้นและที่สุดในกองอาบัติทั้ง 7 ภิกษุนั้น ชื่อว่า มีศีลขาด ดุจผ้า
ขาดรอบๆ ริม. อนึ่ง ภิกษุใดมีสิกขาบททำลายท่ามกลาง ภิกษุนั้นชื่อว่า
มีศีลทะลุ ดุจผ้าทะลุตรงกลาง. ภิกษุใดทำลาย 2, 3 สิกขาบท ตามลำดับภิกษุ
นั้นชื่อว่า มีศีลด่าง ดุจแม่โคที่มีสีดำหรือแดงเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง
ด้วยสีที่ตัดกันตั้งขึ้นบนหลังหรือท้อง. ภิกษุใดมีสิกขาบททำลายระหว่างๆ
ภิกษุนั้น ชื่อว่า ศีลพร้อย ดุจแม่โคที่มีจุดลายไปทั้งตัว.

ส่วนภิกษุใด มีสิกขาบทไม่ทำลายหมด ภิกษุนั้น ชื่อว่า มีศีลเหล่านั้น
ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย. ก็สิกขาบทเหล่านี้นั้น ชื่อว่าเป็นไท เพราะ
พ้นจากความเป็นทาสแห่งตัณหาแล้วทำให้เป็นอิสระ ชื่อว่าวิญญูชนสรร-

เสริญ เพราะวิญญูชนทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญแล้วชื่อ
ว่า อะไรๆ ลูบคลำไม่ได้ เพราะตัณหาเป็นต้น ลูบคลำไม่ได้ และเพราะ
กิเลสอะไรๆ ไม่อาจเพื่อจะลูบคลำว่า "ท่านเคยต้องสิกขาบทชื่อนี้" ย่อมเป็นไป
เพื่อสมาธิอย่างเฉียดๆ หรือสมาธิอย่างแนบแน่น ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า
เป็นไปเพื่อความตั้งมั่น.

บทว่า "ถึงความเป็นผู้มีศีลเสมอกันอยู่" ความว่า ผู้มีศีลเข้าถึงความ
เสมอกัน กับภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในส่วนทิศเหล่านั้นๆ อยู่. เพราะว่า ศีลของ
พระโสดาบันเป็นต้น สม่ำเสมอกันด้วยศีลของพระโสดาบันเป็นต้นเหล่า
อื่น. ที่อยู่ระหว่างทะเลบ้าง เทวโลกบ้างแน่แท้ (แต่) ไม่มีความแตกต่างกัน
โดยมรรคและศีล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมายเอาศีลนั้น จึงได้ตรัสคำนี้.
บทว่า "ทิฏฐินี้ใด" ความว่า สัมมาทิฏฐิที่ประกอบพร้อมด้วยมรรค.
บทว่า "อริยะ" ได้แก่ ไม่มีโทษ.
บทว่า "นำออก" คือ นำออกไป.
บทว่า "ผู้ทำกรรมนั้น" ได้แก่ ผู้ใดเป็นผู้ทำอย่างนั้น.
บทว่า "เพื่อสิ้นทุกข์" ได้แก่ เพื่อความสิ้นทุกข์ทั้งหมด.
บทว่า "ถึงความเสมอกันด้วยความเห็น" ความว่า เป็นผู้เข้าถึงความ
เป็นผู้มีความเห็นเสมอกันอยู่.
บทว่า "เลิศ" ได้แก่ เจริญที่สุด.
บทว่า "รวมไม้กลอนทั้งปวงไว้" ได้แก่ ยึดไว้ดี อธิบายว่า "ทำ
กลอนทุกอันให้จดกัน เหตุนั้น ชื่อว่า ให้ต่อๆ กัน."
บทว่า "ยอดนี้ใด" ความว่า ที่ต่อเรือนยอดกับช่อฟ้า เหตุนั้น ชื่อ
ว่า ยอด. ก็ปราสาท 5 ชั้นเป็นต้นที่ยอดนั้นตรึงไว้เทียวจึงตั้งอยู่ได้ เมื่อ

ยอด นั้นตกไป ปราสาททั้งหมดตั้งต้นแต่ดินเหนียวก็ตกไป. เพราะ
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า "ฉันนั้นนั่นเทียวแล" ความว่า ความเห็นอย่างประเสริฐและ
เลิศแห่งสาราณิยธรรมเหล่านี้นั้น พึงเห็นว่า เป็นตัวรวบรวม และตัวเชื่อม
ดุจยอดของเรือนยอดฉะนั้น.
ในบทว่า "ภิกษุทั้งหลาย ก็ความเห็นนี้ใด อย่างไร" อธิบายว่า
ภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิในโสดาปัตติมรรค ท่านกล่าวว่า ไกลจากข้าศึก คือเป็น
สภาพนำออก ย่อมนำออกไป เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ ของนักปฏิบัติ."
ทิฏฐินั้นนำออกอย่างไร นำออกเพราะเหตุอะไร"
บทว่า "หรือว่า เป็นผู้มีจิตถูกรุมแล้ว" ความว่า ชื่อว่า เป็นผู้มี
จิตถูกรุมแล้ว แม้ด้วยเหตุเท่านี้." ในบททั้งปวงก็นัยนี้.
บทว่า "ใจของเราตั้งมั่นดีแล้ว" ความว่า จิตเราตั้งไว้ดีแล้ว.
บทว่า "เพื่อรู้สัจจะทั้งหลาย" ได้แก่ เพื่อประโยชน์รู้สัจจะ 4.
ในบทเป็นต้นว่า "ประเสริฐ" มีอธิบายว่า เพราะญาณนั้นย่อมมีแก่
ผู้ประเสริฐ หามีแก่ปุถุชนไม่ ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า "ประเสริฐ." ส่วน
ว่า แม้โลกุตตรธรรมของคนพวกใดมีอยู่ก็เป็นของคนพวกนั้นเท่านั้น หามี
แก่พวกอื่นไม่ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ยอดเยี่ยมในโลก. มีคำอธิบาย
ว่า "ชื่อว่า ไม่ทั่วไปกับปุถุชนทั้งหลาย เพราะไม่มีแก่ปุถุชน. ในวาระทั้ง
หมดก็นัยนี้.
บทว่า "เราได้ความสงบเฉพาะตน" ความว่า เราได้ความสงบในจิต
ของตน. แม้ในความดับก็นัยนี้. ในบทว่า "ดับแม้นี้" ย่อมได้ทั้งความ
สงบ ทั้งความเป็นผู้มีอารมณ์เลิศเป็นหนึ่ง.
บทว่า "ดับ" ได้แก่ เข้าไปสงบกิเลส.

บทว่า "ทิฏฐิเห็นปานนั้น" ได้แก่ โสดาปัตติมรรคทิฏฐิเห็นปานนั้น.
บทว่า "โดยธรรมดา" คือ โดยสภาพ.
สภาพนี้ ชื่อว่า ธรรมดานี้.
บทว่า "ย่อมปรากฏการตั้งขึ้น" ความว่า การตั้งขึ้นด้วยอำนาจสังฆ-
กรรม หรือเทศนาย่อมปรากฏ. จริงอยู่ อริยสาวก เมื่อต้องอาบัติ ก็ต้องอาบัติ
ด้วยไม่จงใจ เหมือนการสร้างกุฏีในครุกาบัติ (และ) เหมือนต้องอาบัติใน
เพราะการนอนร่วมในที่มุงที่บังเดียวกันเป็นต้นในลหุกาบัติ แน่นอน พระอริย-
สาวกนั้น ไม่แกล้ง คือ ไม่จงใจต้องอาบัตินั้น ต้องแล้วก็ไม่ปกปิด เพราะเหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำเป็นต้นว่า "ครั้งนั้นแล........นั้นพลันทีเดียว."
บทว่า "หนุ่ม" ได้แก่ ยังอ่อน.
บทว่า "กุมาร" ได้แก่ มิใช่คนแก่.
บทว่า "เขลา" คือชื่อว่า เขลา เพราะตาและหูยังไร้เดียงสา.
บทว่า "นอนหงาย" ความว่า ชื่อว่า เป็นผู้นอนหงาย เพราะยังอ่อน
นัก ไม่อาจจะนอนข้างขวาหรือข้างซ้ายได้.

บทว่า "ได้เหยียบถ่าน" ความว่า เอามือหรือเท้าที่เหยียดไปทางนี้
บ้าง ทางโน้นบ้าง ถูกแล้ว ก็เมื่อพวกมนุษย์ถูกอยู่อย่างนี้ มือจะชักออก
เร็ว ทำช้าไม่ได้แม้ครั้งนั้น คนทั้งหลายเอามือข้างหนึ่งข้างใด จับถ่านเปลี่ยน
ไปเปลี่ยนมาย่อมไปได้ไกล. แต่ว่า มือและเท้าของเด็กอ่อนยังละเอียด
อ่อน. เด็กนั้น เพียงถูกไฟลวกเอาเท่านั้น ก็จะร้องกรี๊ด ทิ้งไปโดยเร็ว
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงเด็กอ่อนไว้ในที่นี้เทียว. คนแก่เมื่อ
ถูกไหม้ย่อมทนได้. แต่ว่าเด็กอ่อนนี้ทนไม่ได้. เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดง
เด็กอ่อนเทียว.

บทว่า "แสดง" ความว่า เมื่อบุคคลที่พอๆ กันเป็นผู้รับอาบัติ ก็
ไม่รอว่ากลางวันหรือกลางคืนไปที่อยู่ของภิกษุที่พอๆ กันนั้น แม้ในกลางคืน
ประกอบด้วยองค์ 4 แสดงทีเดียว

บทว่า "สูง ต่ำ" ได้แก่ สูงๆ ต่ำๆ.
กิจที่ควรกล่าวอย่างนี้ว่า "เราจะทำอย่างไร แล้วทำชื่อว่า กิจที่ควร
จะทำอย่างไร ".

ในกิจเหล่านั้น กิจเป็นต้นอย่างนี้ คือ การทำหรือย้อมจีวร 1 การงาน
ที่พระเจดีย์ 1 การงานที่ควรทำที่โรงอุโบสถ 1 เรือนพระเจดีย์ 1 เรือน
โพธิ์ 1 ชื่อว่าการงานอย่างสูง. การงานเล็กน้อยมีการล้างและทาเท้าเป็น
ต้น ชื่อว่า การงานอย่างต่ำ. อีกอย่างหนึ่ง การงานมีการฉาบทาปูนขาวเป็น
ต้นที่เจดีย์ ชื่อว่า การงานอย่างสูง. ในการงานเหล่านั้น การสุผ้ากาสาวะ
1 การชักน้ำมา 1 การทำเกรียง 1 การพาดบันได 1 ชื่อว่า การงาน
อย่างต่ำ.
บทว่า "ถึงความขวนขวาย" ความว่า เป็นผู้ปฏิบัติความขวนขวาย
ที่ควรทำ.
บทว่า "เป็นผู้เพ่งอย่างกล้า" ความว่า เป็นผู้มีความปรารถนาอย่าง
หนาแน่น.
บทว่า "และถอนหญ้า" ได้แก่ เล็มหญ้าเคี้ยวกินอยู่.
บทว่า "ใส่ใจถึงลูกโค" ความว่า คอยแลดูลูกโคอยู่ด้วย. เหมือน
อย่างว่า โคแม่ลูกอ่อน จะไม่ทิ้งลูกโคที่รวมกันมาป่า แล้วนอนในที่หนึ่งไป
ไกล แม่โคนั้นจะเที่ยวไปในที่ใกล้ๆ ลูกโคและเล็มหญ้าแล้ว ก็ชูคอขึ้นชำเลือง
ดูลูกโคไปด้วยทีเดียว. พระโสดาบันก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทำกิจที่ควรทำ

ทั้งสูงต่ำ น้อมไปในกิจนั้น เป็นผู้บำเพ็ญไม่ย่อหย่อน มีความพอใจอย่าง
แรงกล้า เป็นผู้มีความปรารถนาอย่างหนาแน่นกระทำ. ในข้อนั้น มีเรื่องนี้
เป็นอุทาหรณ์.
เล่ากันว่า เมื่อกำลังฉาบทาปูนที่มหาเจดีย์ พระอริยสาวกรูปหนึ่ง
มือข้างหนึ่งถือภาชนะใส่ปูน ข้างหนึ่ง ถือเกรียง คิดว่า "ฉาบปูนแล้วขึ้น
ฐานพระเจดีย์" ภิกษุรูปหนึ่ง กายมีน้ำหนักมาก ได้ไปยืนใกล้พระเถระ
พระเถระในที่อื่นเป็นผู้ล่าช้าอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้นจึงจากที่นั้นไปที่อื่น.
ถึงภิกษุนั้น ก็ได้ไปที่นั้นนั่นเทียว. พระเถระได้ไปที่อื่นอีกดังนี้แล. พระเถระ
ได้กล่าวกะภิกษุผู้มาในที่ 2-3 แห่งอย่างนี้ว่า ท่านสัตบุรุษ เนินพระเจดีย์
ใหญ่ ท่านไม่ได้โอกาสที่อื่นหรือ. พระเถระนอกนี้ก็ไม่ยอมหลีกไป.
บทว่า "ประกอบด้วยความเป็นผู้มีกำลัง" ได้แก่ ประกอบด้วย
กำลัง.
บทว่า "ทำให้มี" ความว่า ทำความเป็นผู้มีประโยชน์คือ เป็นผู้
มีประโยชน์.
บทว่า "ทำให้มี" ความว่า ทำไว้ในใจ คือรวบรวมสิ่งทั้งหมดมาด้วย
ใจ ชื่อว่า ไม่ทำความฟุ้งซ่านแม้เพียงเล็กน้อย รวบรวมมาด้วยจิตทั้งสิ้น.
บทว่า "เงี่ยโสต" ความว่า มีโสตอันตั้งไว้แล้ว.
ก็พระอริยสาวกทั้งหลาย เป็นผู้รักการฟังธรรม เมื่อจะไปฟัง
ธรรม ก็ไม่นั่งหลับ สนทนากับใครๆ หรือมีจิตฟุ้งซ่าน. โดยที่เเท้ท่านเป็นผู้
ไม่อิ่มในการฟังธรรม เหมือนบริโภคน้ำอมฤต จนถึงอรุณขึ้นไปในการฟัง
ธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้อย่างนี้.
บทว่า "ธรรมดา เป็นอันตั้งไว้ดีแล้ว" ความว่า สภาวะเป็นอันท่าน
แสวงหาไว้ดีแล้ว.

คำว่า "เพราะกระทำให้แจ้งในโสดาปัตติผล" นี้เป็นคำกล่าวถึง
เหตุ อธิบายว่า เพราะญาณที่ทำให้แจ้งแล้วด้วยโสดาปัตติผล.
บทว่า "มาตามพร้อมแล้วด้วยองค์ 7 อย่างนี้" ความว่า ประกอบ
ด้วยญาณเป็นเครื่องพิจารณาอย่างใหญ่เหล่านี้ อย่างนี้. อาจารย์ทั้งหลายมี
ถ้อยคำที่เสมอกันนี้ก่อน. ส่วนโลกุตตรมรรคที่ชื่อว่า มีขณะจิตมาก ไม่มี.
ส่วนอาจารย์ผู้ชอบกล่าวเคาะเล่น ย่อมกล่าวว่า มรรคที่ชื่อว่า มีขณะ
จิตหนึ่งไม่มี การเจริญมรรคมีได้ตลอด 7 ปี ส่วนกิเลสทั้งหลาย เมื่อจะขาด
สูญโดยเร็ว ก็ย่อมขาดสูญด้วยญาณทั้ง 7 เพราะคำว่า "พึงให้เจริญ
ตลอด 7 ปี." อาจารย์นั้นจะถูกเขากล่าวว่า จงนำพระสูตรมา. เมื่อไม่เห็น
สูตรอื่นเขาก็จะนำพระสูตรนี้มาแสดงอย่างแน่นอนว่า "ญาณที่เราบรรลุนี้
เป็นที่หนึ่งแห่งพระสูตรนั้น ญาณที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นที่สองแห่งพระสูตร
นั้น ฯลฯ ญาณที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นที่เจ็ดแห่งพระสูตรนั้น." ลำดับนั้น
อาจารย์นั้นก็จะถูกกล่าวว่า ก็พระสูตรนี้ มีเนื้อความที่พึงนำไป มีเนื้อความที่
นำไปแล้วหรือ. แต่นั้นก็จะกล่าวว่า มีเนื้อความที่นำไปแล้ว. พระสูตรฉัน
ใด เนื้อความก็ฉันนั้น.

อาจารย์นั้นก็จะพึงถูกกล่าวว่า ความเป็นธรรม ก็จะตั้งมั่นด้วย
ดี ประโยชน์มีประมาณเท่านี้ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล. อาจารย์นั้น
ย่อมกล่าวว่า "ประโยชน์แห่งการทำให้แจ้งโสดาปัตติผลมีแน่นอน. แต่นั้นก็
จะถูกถามว่า ผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคย่อมทำผลให้แจ้ง แล้วกลายเป็นผู้พรั่ง
พร้อมด้วยผลหรือ. เมื่อรู้ก็ตอบว่า ผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรค ย่อมทำให้แจ้ง
ผล กลายเป็นพรั่งพร้อมด้วยผล. แต่นั้นถูกซักอีกว่า "เพราะท่านยัง
ไม่อบรมมรรค" ในพระพุทธดำรัสนี้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้
ประกอบด้วยองค์ 7 อย่างนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยโสดาปัตติผล". จึงกระโดด

ไปกล่าวสะเปะสะปะเหมือนกับว่า ผมยังไม่ได้พระสูตรว่า อริยสาวกจะยึด
เอาผลให้ได้ ธรรมดาภิกษุผู้จะแก้ปัญหาควรอยู่ในสำนักอาจารย์ เรียน
เอาพระพุทธพจน์ทราบอรรถรสแล้วกล่าวถ้อยคำ.

ญาณ 7 เหล่านี้ จัดเป็นญาณเครื่องพิจารณาของพระอริยสาวก
ทีเดียว. โลกุตตรมรรค ที่ชื่อว่า มีขณะจิตมากย่อมไม่มี พึงให้ยอมรับว่า
" มีขณะจิตเตียวเท่านั้น" ถ้าเขาจะรู้ก็จงรู้หาก ไม่รู้ ก็จงส่งไปว่า "ท่านจงไป
เข้าวิหารแต่เช้าตรู่แล้วดื่มข้าวต้มเสีย." คำที่เหลือในบททั้งปวงตื้นนั่นเทียว
แล.

จบอรรถกถาโกสัมพิกสูตร.

9. พรหมนิมันตนิกสูตร


[551 ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้
มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า.
[552] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ภิกษุทั้ง
หลาย. สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่โคนต้นรังใหญ่ในสุภควัน เมืองอุกกัฏฐา
ก็สมัยนั้นแล พกพรหมมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานฉะนี้ เกิดขึ้นว่า พรหมสถานนี้
เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดา พรหมสถานนี้
แล ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แหละสถานที่ออกไปจากทุกข์
อย่างอื่นที่ดียิ่งกว่าพรหมสถานนี้ไม่มี ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย. ครั้งนั้น เรา
รู้ความปริวิตกแห่งใจพกพรหมด้วยใจแล้ว จึงหายไปที่โคนต้นรังใหญ่ ใน
สุภควันใกล้เมืองอุกกัฏฐา ไปปรากฏในพรหมโลกนั้น เปรียบเหมือนบุรุษที่มี
กำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย พกพรหม
ได้เห็นเราผู้มาแต่ไกล แล้วได้พูดกะเราว่า ท่านผู้นิรทุกข์. เชิญมาเถิด
ท่านมาดีแล้ว นานทีเดียวที่ท่านเพิ่งทำทางจะมาในที่นี้ ท่านผู้นิรทุกข์.
พรหมสถานนี้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนเป็นธรรมดา
พรหมสถานนี้แลไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แหละเหตุเป็น
ที่ออกไปจากทุกข์อย่างอื่นที่ดียิ่งกว่าพรหมสถานนี้ไม่มี ภิกษุทั้งหลาย.
เมื่อพกพรหมกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะพกพรหมว่า ท่านผู้
เจริญ. พกพรหมตกอยู่ในวิชชาแล้วหนอ พกพรหมตกอยู่ในอวิชชาแล้วหนอ